/

June 18, 2025

T กลายเป็น D ได้ไงอะ?! รู้ไว้ก่อนฝึกพูดแบบเจ้าของภาษา

T is D ที่ครูฟิลิปปินส์สอน - ทำไมต้องเรียนรู้เรื่องนี้?

สวัสดีค่ะทุกคน! วันนี้พี่แมงโก้จะมาคุยเรื่องที่หลายคนอาจจะงงๆ แต่สำคัญมากสำหรับคนที่อยากพูดภาษาอังกฤษให้เป็นธรรมชาติ นั่นคือเรื่อง “T is D” ที่ครูฟิลิปปินส์มักจะสอนกันค่ะ 

หลายคนที่เรียนกับครูฟิลิปปินส์อาจจะเคยได้ยินครูพูดว่า “T is D” แล้วงงว่าทำไมต้องเปลี่ยน T เป็น D วันนี้พี่จะมาอธิบายให้ฟังกันค่ะ!

T is D คืออะไร?

จริงๆ แล้ว “T is D” ที่ครูฟิลิปปินส์สอนนี้ เป็นการอธิบายแบบง่ายๆ ของ phenomenon ที่เรียกว่า “Flapping” หรือ “T-flapping” ในภาษาอังกฤษอเมริกันค่ะ

สิ่งที่เกิดขึ้นจริงๆ คือ:

  • เสียง /t/ ในตำแหน่งบางตำแหน่งจะเปลี่ยนเป็นเสียงที่คล้าย /d/
  • แต่จริงๆ แล้วไม่ใช่ /d/ เต็มตัว แต่เป็นเสียงที่เรียกว่า “flap” [ɾ]
  • คนฟิลิปปินส์เลยสอนแบบง่ายๆ ว่า “T is D” เพื่อให้เข้าใจง่าย

เมื่อไหร่ที่ T จะกลายเป็น D?

1. T อยู่ระหว่างสระ (Between vowels)

ตัวอย่างคำ:

  • water → “wa-der”
  • better → “be-der”
  • letter → “le-der”
  • butter → “bu-der”
  • little → “li-del”

ลองฟังดูสิ: ถ้าเราฟังคนอเมริกันพูดคำ “water” จะไม่ได้ยิน “วอ-เทอร์” แบบชัดๆ แต่จะได้ยิน “วอ-เดอร์” แทน!

2. T หลังสระ ก่อน L

ตัวอย่างคำ:

  • bottle → “bo-del”
  • little → “li-del”
  • battle → “ba-del”
  • cattle → “ca-del”

3. T ในคำที่ลงท้ายด้วย -ty

ตัวอย่างคำ:

  • city → “ci-dy”
  • pretty → “pre-dy”
  • party → “par-dy”
  • twenty → “twen-dy”

ทำไมครูฟิลิปปินส์ถึงสอนเรื่องนี้?

1. ภาษาอังกฤษอเมริกันมีอิทธิพลมาก

ครูฟิลิปปินส์ส่วนใหญ่เรียนรู้ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน เพราะฟิลิปปินส์เคยเป็นอาณานิคมของอเมริกา ดังนั้นการออกเสียงแบบอเมริกันเลยเป็นมาตรฐานที่พวกเขาสอน

2. ช่วยให้ฟังภาษาอังกฤษเข้าใจง่ายขึ้น

เมื่อเราเข้าใจว่าทำไม “water” ถึงฟังดูเหมือน “wader” เราก็จะไม่งงตอนฟังหนัง ฟังเพลง หรือคุยกับคนอเมริกัน

3. ทำให้การพูดเป็นธรรมชาติมากขึ้น

การใช้ T-flapping ทำให้การพูดลื่นไหลและเป็นธรรมชาติมากกว่าการออกเสียง T แบบชัดๆ ทุกคำ

วิธีฝึก T is D อย่างถูกต้อง

ขั้นตอนที่ 1: เข้าใจหลักการ

  • ท่องจำกฎว่าเมื่อไหร่ T จะเปลี่ยน
  • เริ่มจากคำง่ายๆ เช่น water, better, little

ขั้นตอนที่ 2: ฟังและเลียนแบบ

  • ฟังคนอเมริกันพูดคำเหล่านี้
  • ลองเลียนแบบเสียงที่ได้ยิน
  • อย่าคิดมากเรื่องเทคนิค ให้ฟังและทำตาม

ขั้นตอนที่ 3: ฝึกในประโยค

  • “I need a bottle of water”
  • “The weather is getting better”
  • “She lives in the city”

ขั้นตอนที่ 4: ใช้ในการสนทนา

  • ลองใช้ในการคุยจริง
  • ไม่ต้องพยายามมากเกินไป ให้เป็นธรรมชาติ

คำเตือนสำคัญ!

อย่าใช้ทุกสถานการณ์

  • ในการนำเสนองานเป็นทางการ ควรใช้การออกเสียงที่ชัดเจน
  • เมื่อพูดช้าๆ เพื่อให้คนอื่นอย่าบังคับตัวเอง

สรุปจากพี่แมงโก้:

T-flapping เป็นเครื่องมือดีสำหรับคนที่มีพื้นฐานแล้ว ช่วยให้ฟังภาษาอังกฤษเข้าใจมากขึ้น โดยเฉพาะหนังและคลิปต่างๆ แต่ถ้ายังออกเสียง /t/ /d/ พื้นฐานไม่ชัด อย่าเพิ่งเรียนเพราะอาจสับสน ที่สำคัญคือให้ใช้เป็นเครื่องมือช่วยฟังมากกว่าบังคับใช้ เพราะการสื่อสารชัดเจนยังคงสำคัญกว่าการเลียนแบบให้เหมือนเป๊ะ และภาษาอังกฤษมีหลายสำเนียง การไม่ใช้ T-flapping ก็ไม่ได้ผิดแต่อย่างใด จำไว้ว่า เป้าหมายของการเรียนภาษาคือการสื่อสาร ไม่ใช่การเลียนแบบให้เหมือนเป๊ะ

หวังว่าบทความนี้จะช่วยให้ทุกคนเข้าใจเรื่อง “T is D” มากขึ้น และสามารถตัดสินใจได้ว่าเหมาะกับตัวเองหรือไม่ค่ะ!

ที่มา: https://vt.tiktok.com/ZSkgU1ymW/

และน้องๆยังสามารถ ตามไปดูคลิปบรรยากาศการเรียนและชีวิตประจำวันของนักเรียนไทยในเซบูได้แบบครบ ๆ ได้ที่ TikTok: @MangoStudyCebu เลยค่ะ!

MANGO STUDYCEBU

By Mango Learning Express

สามารถติดต่อสอบถามได้เลยที่